เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
ศิริรักษ์ ศิลาประจวบ 50132792048

วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ

1.)ได้เรียนรู้วิธีการทำงานที่เป็นระบบราชการจริง
2.)ได้รับทักษะในการคิดวิเคราะห์ การเสนองานต่อผู้บริหารที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
3.)ได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคมที่ต่างไปจากเดิม การปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับสังคมที่เป็นอยู่
4.)ได้ใช้งานอุปกรณ์สำนักงานจริงและเรียนรู้วิธีการใช้งานได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
5.)ได้เรียนรู้วิธีการจัดเตรียมความพร้อมของการจัดประชุมต่อผู้บริหารมากยิ่งขึ้น
6.)มีความเป็นผู้นำมากยิ่งขึ้น กล้าสอน กล้าบอก ในการที่จะแนะนำงานให้กับบุคลากรที่เข้ามาปฏิบัติการใหม่
7.)ประสบการณ์ที่ได้รับจากการฝึกงานสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันและในการที่จะนำไปทำงานที่อื่นได้จริง

วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

รายงานผลการฝึกประสบการณ์ ครั้งที่18

งานที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่ 5 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554
-ลงรับหนังสือ และออกเลขทะเบียนรับ-ส่ง ของฝ่ายสารบรรณ ทั้งภายในและภายนอกกรมฯ
-คีย์ข้อมูลเอกสารภายในเรียนอธิบดีกรมพินิจฯ ลงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณ 100 ฉบับ : วัน
-คัดแยกจดหมายส่งหน่วยงานต่างๆ
-ลงทะเบียนจดหมาย เพื่อส่งไปรษณีย์
-เดินส่งเอกสารไปยังฝ่ายต่างๆ ภายในกรมฯ

ปัญหา
-พนักงานที่เข้ามาใหม่ยังจำสถานที่ของฝ่ายต่างๆภายในกรมฯได้ไม่หมด
-ระบบอิเล็กทรอนิกส์ล่าช้ามาก

วิธีแก้ไข
-แนะนำสถานที่ของฝ่ายต่างๆภายในกรมฯ ให้เข้าใจ
-ทำใจยอมรับ เพราะช้าไม่เปลี่ยนแปลง

ข้อเสนอแนะ
-ควรมีการจัดหาอุปกรณ์สำนักงานมาเพิ่มเพื่อให้พอกับบุคลากรในการทำงานที่ดีและรวดเร็ว
-ควรปรับปรุงระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

รายงานผลการฝึกประสบการณ์ ครั้งที่17

งานที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 21-25 กุมภาพันธ์ 2554
-ลงรับหนังสือ และออกเลขทะเบียนรับ-ส่ง ของฝ่ายสารบรรณ ทั้งภายในและภายนอกกรมฯ
-คีย์ข้อมูลเอกสารภายในเรียนอธิบดีกรมพินิจฯ ลงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณ 100 ฉบับ : วัน
-คัดแยกจดหมายส่งหน่วยงานต่างๆ
-ลงทะเบียนจดหมาย เพื่อส่งไปรษณีย์
-ตัดแฟ้มลงเวลาปฏิบัติงานของผู้ที่มาลงชื่อปฏิบัติงาน

ปัญหา
-มีพนักงานใหม่เข้ามาและต้องคอยสอนงาน
-พนักงานที่เข้ามาใหม่ยังทำงานล่าช้าและมีการผิดพลาด
-ระบบอิเล็กทรอนิกส์ล่าช้ามาก

วิธีแก้ไข
-แนะนำและสอนงานให้เข้าใจ
-แนะนำการทำงานที่รวดเร็วและช่วยทำงานในบางอย่างที่พนักงานใหม่ยังไม่เข้าใจ
-ทำใจยอมรับ เพราะช้าไม่เปลี่ยนแปลง

ข้อเสนอแนะ
-ควรมีการจัดหาอุปกรณ์สำนักงานมาเพิ่มเพื่อให้พอกับบุคลากรในการทำงานที่ดีและรวดเร็ว

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

รายงานผลการฝึกประสบการณ์ ครั้งที่16

งานที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 14-17 กุมภาพันธ์ 2554

-ลงรับหนังสือ และออกเลขทะเบียนรับ-ส่ง ของฝ่ายสารบรรณ ทั้งภายในและภายนอกกรมฯ
-คีย์ข้อมูลเอกสารภายในเรียนอธิบดีกรมพินิจฯ ลงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณ 200 ฉบับ : วัน
-คัดแยกจดหมายส่งหน่วยงานต่างๆ
-ลงทะเบียนจดหมาย เพื่อส่งไปรษณีย์

ปัญหา
-อุปกรณ์สำนักงานไม่เพียงพอกับบุคลากร
-ระบบอิเล็กทรอนิกส์ล่าช้ามาก

วิธีแก้ไข
-พลัดเปลี่ยนกันทำงานของบุคลากรที่มีอยู่ในแต่ละอย่างของอุปกรณ์สำนักงาน
-ต้องใจเย็นๆและมีสติในการรอระบบ เพราะท่ารีบร้อนในการคลิกย้ำ จะทำให้เกิดเลขในระบบซ้ำกัน

ข้อเสนอแนะ
-ควรมีความพร้อมในเรื่องของอุปกรณ์สำนักงานมากกว่านี้

รายงานผลการฝึกประสบการณ์ ครั้งที่15

งานที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 7-11 กุมภาพันธ์ 2554
-ลงรับหนังสือ และออกเลขทะเบียนรับ-ส่ง ของฝ่ายสารบรรณ ทั้งภายในและภายนอกกรมฯ
-คีย์ข้อมูลเอกสารภายในเรียนอธิบดีกรมพินิจฯ ลงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณ 150 ฉบับ : วัน
-คัดแยกจดหมายส่งหน่วยงานต่างๆ
-ลงทะเบียนจดหมาย เพื่อส่งไปรษณีย์

ปัญหา
-ระบบอิเล็กทรอนิกส์ล่าช้ามาก

วิธีแก้ไข
-ทำใจยอมรับ เพราะช้าไม่เปลี่ยนแปลง

ข้อเสนอแนะ
-ควรมีความรวดเร็วในการที่จะนำเรื่องร้องทุกข์มาแก้ไขในกรมฯ

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

รายงานผลการฝึกประสบการณ์ ครั้งที่14

งานที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่ 5-1 ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม - 04 กุมภาพันธ์ 2554
-ลงรับหนังสือ และออกเลขทะเบียนรับ-ส่ง ของฝ่ายสารบรรณ ทั้งภายในและภายนอกกรมฯ
-คีย์ข้อมูลเอกสารภายในเรียนอธิบดีกรมพินิจฯ ลงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ 75 ฉบับ
-คัดแยกจดหมายส่งหน่วยงานต่างๆ

ปัญหา
-ระบบอิเล็กทรอนิกส์ล่าช้ามาก

วิธีแก้ไข
-ต้องใจเย็นๆและมีสติในการรอระบบ เพราะท่ารีบร้อนในการคลิกย้ำ จะทำให้เกิดเลขในระบบซ้ำกัน

ข้อเสนอแนะ
-ควรมีการจัดทีมงานเข้ามาดูระบบอิเล็กทรอนิกส์ซักที

วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

รายงานผลการฝึกประสบการณ์ ครั้งที่13

งานที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 24-28 มกราคม 2554
-ลงรับหนังสือ และออกเลขทะเบียนรับ-ส่ง ของฝ่ายสารบรรณ ทั้งภายในและภายนอกกรมฯ
-คีย์ข้อมูลเอกสารภายในเรียนอธิบดีกรมพินิจฯ ลงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณ 100 ฉบับ : วัน
-คัดแยกจดหมายส่งหน่วยงานต่างๆ
-ลงทะเบียนจดหมาย เพื่อส่งไปรษณีย์

ปัญหา
-บุคลากรออก คนน้อยลงแต่งานเท่าเดิม-มากขึ้น
-ระบบอิเล็กทรอนิกส์ล่าช้ามาก

วิธีแก้ไข
-อย่าท้อและสู้ๆ
-ต้องใจเย็นๆและมีสติในการรอระบบ เพราะท่ารีบร้อนในการคลิกย้ำ จะทำให้เกิดเลขในระบบซ้ำกัน

ข้อเสนอแนะ
-ควรมีการจัดระบบงานที่แน่นอน ในช่วงที่ต้องมีการทำงานทดแทนบุคลากรคนที่ไม่ได้มาในวันนั้นๆ

รายงานผลการฝึกประสบการณ์ ครั้งที่12

งานที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 17-21 มกราคม 2554
-ลงรับหนังสือ และออกเลขทะเบียนรับ-ส่ง ของฝ่ายสารบรรณ ทั้งภายในและภายนอกกรมฯ
-คีย์ข้อมูลเอกสารภายในเรียนอธิบดีกรมพินิจฯ ลงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณ 250 ฉบับ : วัน
-คัดแยกจดหมายส่งหน่วยงานต่างๆ
-ลงทะเบียนจดหมาย เพื่อส่งไปรษณีย์

ปัญหา
-บุคลากรไม่มาปฏิบัติงานหลายคน
-ระบบอิเล็กทรอนิกส์ล่าช้ามาก

วิธีแก้ไข
-จัดระบบให้ทำงานที่ด่วนก่อน แล้วค่อยทำงานที่ธรรมดาตาม
-ต้องใจเย็นๆและมีสติในการรอระบบ เพราะท่ารีบร้อนในการคลิกย้ำ จะทำให้เกิดเลขในระบบซ้ำกัน

ข้อเสนอแนะ
-ควรมีการแจ้งบอกกล่าวในการลางานล่วงหน้า

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

รายงานผลการฝึกประสบการณ์ ครั้งที่11

งานที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 10-14 มกราคม 2554
-ลงรับหนังสือ และออกเลขทะเบียนรับ-ส่ง ของฝ่ายสารบรรณ ทั้งภายในและภายนอกกรมฯ
-คีย์ข้อมูลเอกสารภายในเรียนอธิบดีกรมพินิจฯ ลงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณ 200 ฉบับ : วัน
-คัดแยกจดหมายส่งหน่วยงานต่างๆ
-ลงทะเบียนจดหมาย เพื่อส่งไปรษณีย์

ปัญหา
-ระบบอิเล็กทรอนิกส์ล่าช้ามาก

วิธีแก้ไข
-ต้องใจเย็นๆและมีสติในการรอระบบ เพราะท่ารีบร้อนในการคลิกย้ำ จะทำให้เกิดเลขในระบบซ้ำกัน

ข้อเสนอแนะ
-ควรแก้ไขระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้มีความรวดเร็วกว่าเดิม
-ควรมีอุปกรณ์สำนักงานให้พร้อมเพรียงมากกว่านี้ให้เหมาะกับจำนวนบุคลากร

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

รายงานผลการฝึกประสบการณ์ ครั้งที่10

งานที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 4-7 มกราคม 2554
-ลงรับหนังสือ และออกเลขทะเบียนรับ-ส่ง ของฝ่ายสารบรรณ ทั้งภายในและภายนอกกรมฯ
-คีย์ข้อมูลเอกสารภายในเรียนอธิบดีกรมพินิจฯ ลงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณ 100 ฉบับ : วัน
-คัดแยกจดหมายส่งหน่วยงานต่างๆ

ปัญหา
-ระบบอิเล็กทรอนิกส์ล่าช้ามาก

วิธีแก้ไข
-ต้องใจเย็นๆและมีสติในการรอระบบ เพราะท่ารีบร้อนในการคลิกย้ำ จะทำให้เกิดเลขในระบบซ้ำกัน

ข้อเสนอแนะ
-ควรจัดการแก้ไขระบบอิเล็กทรอนิกส์บ้าง

วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รายงานผลการฝึกประสบการณ์ ครั้งที่9

งานที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่ 5 ตั้งแต่วันที่ 27-30 ธันวาคม 2553
-ลงรับหนังสือ และออกเลขทะเบียนรับ-ส่ง ของฝ่ายสารบรรณ ทั้งภายในและภายนอกกรมฯ
-คีย์ข้อมูลเอกสารภายในเรียนอธิบดีกรมพินิจฯ ลงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณ 50 ฉบับ : วัน
-คัดแยกจดหมายส่งหน่วยงานต่างๆ
-ตัดแฟ้มรายชื่อผู้ลงเวลาปฏิบัติงาน
-นั่งรับงานหน้าห้องเลขานุการกรม

ปัญหา
-ระบบอิเล็กทรอนิกส์ล่าช้ามาก
-งานหน้าห้องยังไม่เข้าใจเท่าที่ควร

วิธีแก้ไข
-ต้องใจเย็นๆและมีสติในการรอระบบ เพราะท่ารีบร้อนในการคลิกย้ำ จะทำให้เกิดเลขในระบบซ้ำกัน
-สอบถามผู้ที่มอบหมายงานให้ และสอบถามพี่ที่เคยทำตรงนี้มาก่อนว่าควรทำอย่างไร

ข้อเสนอแนะ
-ควรมีการจัดระบบงานที่แน่ชัดกว่านี้

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รายงานผลการฝึกประสบการณ์ ครั้งที่8

งานที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 20-24 ธันวาคม 2553
-ลงรับหนังสือ และออกเลขทะเบียนรับ-ส่ง ของฝ่ายสารบรรณ ทั้งภายในและภายนอกกรมฯ
-คีย์ข้อมูลเอกสารภายในเรียนอธิบดีกรมพินิจฯ ลงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณ 75 ฉบับ : วัน
-คัดแยกจดหมายส่งหน่วยงานต่างๆ
-รวบรวมรายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ลงในโปรแกรม Microsoft Office Excel ของสถานพินิจต่างๆทั่วประเทศไทย

ปัญหา
-ระบบอิเล็กทรอนิกส์ล่าช้ามาก
-การสั่งการด้วยอารมณ์ และความรู้สึกที่ไม่เป็นมิตร

วิธีแก้ไข
-ต้องใจเย็นๆและมีสติในการรอระบบ เพราะท่ารีบร้อนในการคลิกย้ำ จะทำให้เกิดเลขในระบบซ้ำกัน
-เป็นผู้น้อยต้องสงบปาก สงบคำ ถึงแม้ว่าเราจะถูกก็ตาม

ข้อเสนอแนะ
-ควรมีการแยกแยะระหว่างเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ไม่ควรนำเรื่องส่วนตัวจากที่อื่นมาลงกับผู้ปฏิบัติงานในที่ทำงาน

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รายงานผลการฝึกประสบการณ์ ครั้งที่7

งานที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 13-17 ธันวาคม 2553
-ลงรับหนังสือ และออกเลขทะเบียนรับ-ส่ง ของฝ่ายสารบรรณ ทั้งภายในและภายนอกกรมฯ
-คีย์ข้อมูลเอกสารภายในเรียนอธิบดีกรมพินิจฯ ลงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณ 20 ฉบับ : วัน
-คัดแยกจดหมายส่งหน่วยงานต่างๆ

ปัญหา
-ระบบอิเล็กทรอนิกส์ล่าช้ามาก

วิธีแก้ไข
-ต้องใจเย็นๆและมีสติในการรอระบบ เพราะท่ารีบร้อนในการคลิกย้ำ จะทำให้เกิดเลขในระบบซ้ำกัน

ข้อเสนอแนะ
-ควรมีการปรับปรุงระบบใหม่ให้ไวกว่าเดิม

รายงานผลการฝึกประสบการณ์ ครั้งที่6

งานที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 06-09 ธันวาคม 2553
-ลงรับหนังสือ และออกเลขทะเบียนรับ-ส่ง ของฝ่ายสารบรรณ ทั้งภายในและภายนอกกรมฯ
-คีย์ข้อมูลเอกสารภายในเรียนอธิบดีกรมพินิจฯ ลงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณ 20 ฉบับ : วัน
-ออกเลขทะเบียนคำสั่งให้กับฝ่ายต่างๆ

ปัญหา
-มีผู้ปฏิบัติงานเข้ามาใหม่ทำให้คอมพิวเตอร์ในการใช้งานไม่พอ
-เอกสารเยอะแต่อุปกรณ์ในการลงระบบน้อย
-มีการเปลี่ยนระบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ ไม่สามารถแก้ไขเลขทะเบียนรับ-ส่งได้
-ระบบอินเทอร์เน็ตช้า ทำให้การคีย์ข้อมูลลงระบบล่าช้ามาก

วิธีแก้ไข
-นำโน๊ตบุ๊คมาเพิ่มในการช่วยพิมพ์งานต่างๆ
-จัดตำแหน่งหน้าที่กันใหม่อีกครั้งให้พอเหมาะกับงาน เพื่อความรวดเร็วและลงตัวที่สุด
-รับลงเอกสารแล้วดึงเอกสารคืนจากระบบเพื่อแก้หมายเลขทะเบียน รับ-ส่ง แล้วทำการโทรไปยังฝ่ายอิเล็กทรอนิกส์ให้แก้ไขตามเดิม
-ต้องใจเย็นๆและมีสติในการรอระบบ เพราะท่ารีบร้อนในการคลิกย้ำ จะทำให้เกิดเลขในระบบซ้ำกัน

ข้อเสนอแนะ
-ควรมีวัสดุอุปกรณ์ในการทดแทนของที่เสียหายหรือสึกหรอในการทำงานจะได้ไม่เสียเวลายุ่งยากในการรอคอย

รายงานผลการฝึกประสบการณ์ ครั้งที่5

งานที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่ 5-1 ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน - 03 ธันวาคม 2553
-ลงรับหนังสือ และออกเลขทะเบียนรับ-ส่ง ของฝ่ายสารบรรณ ทั้งภายในและภายนอกกรมฯ
-คีย์ข้อมูลเอกสารภายในเรียนอธิบดีกรมพินิจฯ ลงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณ 20 ฉบับ : วัน
-คัดแยกจดหมายส่งหน่วยงานต่างๆ
-ติดป้ายลงทะเบียนจดหมายส่งไปรษณีย์

ปัญหา
-ผู้ปฏิบัติงานในฝ่ายสารบรรณลาเยอะมาก
-ประสิทธิภาพในการทำงานไม่เต็มที่เนื่องจากไม่สบาย
-งานที่ต้องเสนออธิบดีกรมฯเยอะมาก
-ระบบอินเทอร์เน็ตช้า ทำให้การคีย์ข้อมูลลงระบบล่าช้ามาก

วิธีแก้ไข
-แบ่งหน้าที่ของผู้ปฏิบัติที่เหลืออยู่ให้ลงตัว งานจะได้ไม่ตกค้างหลงเหลือ
-หายาทาน และตั้งสติในการทำงาน
-ต้องใจเย็นๆและมีสติในการรอระบบ เพราะท่ารีบร้อนในการคลิกย้ำ จะทำให้เกิดเลขในระบบซ้ำกัน

ข้อเสนอแนะ
-ควรมีการจัดระบบในการทำหน้าที่ทดแทนบุคคลที่ไม่อยู่ ไม่ควรมานั่งแก้สถานะการณ์เฉพาะหน้าไปวันๆ

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

รายงานผลการฝึกประสบการณ์ ครั้งที่4

งานที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 22-26 พฤศจิกายน 2553
-เช็คตัดรายชื่อแฟ้มลงเวลาปฏิบัติการของผู้ปฏิบัติงาน เป็นจำนวน 8 แฟ้ม
-ลงรับหนังสือ และออกเลขทะเบียนรับ-ส่ง ของฝ่ายสารบรรณ ทั้งภายในและภายนอกกรมฯ
-คีย์ข้อมูลเอกสารภายในเรียนอธิบดีกรมพินิจฯ ลงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณ 70 ฉบับ : วัน
-ถ่ายสำเนาเอกสารใบปะหน้าเก็บไว้เป็นหลักฐาน เฉพาะงานที่ต้องเสนอผ่านรองอธิบดี ประมาณ 7 ฉบับ : วัน
-ทำใบลงเวลาปฏิบัติการของผู้ปฏิบัติงาน ประจำเดือน ธันวาคม จำนวน 8 ชุด
-คัดแยกจดหมายส่งหน่วยงานต่างๆ

ปัญหา
-สัปดาห์นี้งานน้อย
-ผู้ปฏิบัติงานที่ต้องลงเวลามาช้ากว่ากำหนดการเข้าปฏิบัติการ
-ระบบอินเทอร์เน็ตช้า ทำให้การคีย์ข้อมูลลงระบบล่าช้ามาก

วิธีแก้ไข
-สอบถามพี่ๆที่อยู่ในฝ่ายว่ามีงานอะไรที่นอกเหนือจากที่ได้รับมอบหมายให้ทำไหม
-เก็บแฟ้มไว้ที่โต๊ะแล้วยังไม่ตัดรายชื่อเพระพี่ที่มาช้ากว่ากำหนดได้โทรมาบอกให้รอ จึงต้องรอมาเซ็นก่อนแล้วค่อยตัดรายชื่อ
-ต้องใจเย็นๆและมีสติในการรอระบบ เพราะท่ารีบร้อนในการคลิกย้ำ จะทำให้เกิดเลขในระบบซ้ำกัน

ข้อเสนอแนะ
-ควรมีการตรวจสอบระบบความเร็วของอินเตอร์เน็ตบ้างว่าเร็วหรือช้าแค่ไหน

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

รายงานผลการฝึกประสบการณ์ ครั้งที่3

งานที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 15-19 พฤศจิกายน 2553
-เช็คตัดรายชื่อแฟ้มลงเวลาปฏิบัติการของผู้ปฏิบัติงาน เป็นจำนวน 8 แฟ้ม
-ลงรับหนังสือ และออกเลขทะเบียนรับ-ส่ง ของฝ่ายสารบรรณ ทั้งภายในและภายนอกกรมฯ
-คีย์ข้อมูลเอกสารภายในเรียนอธิบดีกรมพินิจฯ ลงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณ 100 ฉบับ : วัน
-ทำ Flow Chart ขั้นตอนการรับ-ส่งหนังสือราชการ จำนวน 2 คน
-ถ่ายสำเนาเอกสารใบปะหน้าเก็บไว้เป็นหลักฐาน เฉพาะงานที่ต้องเสนอผ่านรองอธิบดี ประมาณ 20 ฉบับ : วัน
-ทำใบลงเวลาปฏิบัติการของผู้ปฏิบัติงาน ประจำเดือน ธันวาคม จำนวน 8 ชุด

ปัญหา
-มีการปรับเปลี่ยนคนคุมงานในฝ่านสารบรรณ แนวการทำงานไม่เหมือนกัน
-ผู้ปฏิบัติการที่มาคุมใหม่คีย์งานลงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ล่าช้ามากๆ
-ระบบอินเทอร์เน็ตช้า ทำให้การคีย์ข้อมูลลงระบบล่าช้ามาก

วิธีแก้ไข
-มีการโหวดประชาธิปไตยในส่วนของผู้ปฏิบัติงานในส่วนสารบรรณร่วมทั้งตัวดิฉันว่าให้ระบบการทำงานแบบเก่าที่เคยทำ เพราะมีความชำนาญแล้วและสะดวกรวดเร็วกว่า
-คอยสอนงานผู้ปฏิบัติการที่ย้ายมาว่าการลงระบบควรทำยังไง และถ้าเป็นงานด่วนจะรับทำเอง
-ต้องใจเย็นๆและมีสติในการรอระบบ เพราะท่ารีบร้อนในการคลิกย้ำ จะทำให้เกิดเลขในระบบซ้ำกัน


ข้อเสนอแนะ
-ควรมีการประชุมวางแผนกันก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยนแผนงานการควบคุมงาน หรือ เปลี่ยนสายงาน

รายงานผลการฝึกประสบการณ์ ครั้งที่2

งานที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 8-12 พฤศจิกายน 2553
-เช็คตัดรายชื่อแฟ้มลงเวลาปฏิบัติการของผู้ปฏิบัติงาน เป็นจำนวน 8 แฟ้ม ได้แก่
1.แฟ้มลงเวลาข้าราชการ (ปฏิบัติงาน,ปฏิบัติการ,ชำนาญงาน) จำนวน 12 คน
2.แฟ้มลงเวลาพนักงานขับรถยนต์ จำนวน 6 คน
3.แฟ้มลงเวลาลูกจ้างประจำ จำนวน 3 คน
4.แฟ้มลงเวลาพนักงานราชการ จำนวน 23 คน
5.แฟ้มลงเวลาข้าราชการ (ชำนาญการ,ชำนาญการพิเศษ) จำนวน 8 คน
6.แฟ้มลงเวลาเข้างาน 07.30-15.30น. จำนวน 1 คน
7.แฟ้มลงเวลาเข้างาน 09.00-17.00น. จำนวน 1 คน
8.แฟ้มลงเวลาพนักงานโครงการไทยเข้มแข็ง จำนวน 4 คน
-ลงรับหนังสือ และออกเลขทะเบียนรับ-ส่ง ของฝ่ายสารบรรณ ทั้งภายในและภายนอกกรมฯ
-คีย์ข้อมูลเอกสารภายในเรียนอธิบดีกรมพินิจฯ ลงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณ 150 ฉบับ : วัน
-เดินเอกสารส่งกอง หรือ กลุ่มต่างๆ 11 สถานที่ : วัน
-ทำ Flow Chart การปฏิบัติการของผู้ปฏิบัติงานในฝ่ายสารบรรณ จำนวน 4 คน

ปัญหา
-อ่านรายมือชื่อไม่ออก
-ยังจำไม่ได้ว่าเอกสารชุดไหนควรตัดจ่ายไปฝ่ายไหน
-ระบบอินเทอร์เน็ตช้า ทำให้การคีย์ข้อมูลลงระบบล่าช้ามาก

วิธีแก้ไข
-สอบถามพี่ที่ปฏิบัติงานและค้นหารายชื่อเดิมมาและทำการจดลงสมุดบันทึกส่วนตัวว่าแฟ้มไหนมีใคร ชื่ออะไรบ้าง
-สอบถามพี่ที่สอนงานและทำการจดลงสมุดบันทึกส่วนตัว ทดลองตัดจ่ายเสมอแล้วเริ่มจำได้เอง
-ต้องใจเย็นๆและมีสติในการรอระบบ เพราะท่ารีบร้อนในการคลิกย้ำ จะทำให้เกิดเลขในระบบซ้ำกัน

ข้อเสนอแนะ
-ระบบOnline ทางอินเตอร์เน็ต ควรมีการอัพเดรตให้รวดเร็วมากกว่านี้
-ควรมีการนำระบบ VDO Conference มาใช้ในหน่วยงานในการประชุมระหว่าง ผอ.สถานพินิจฯ ต่างๆที่อยู่ต่างจังหวัด เพื่อความรวดเร็ว

รายงานผลการฝึกประสบการณ์ ครั้งที่1

งานที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1-5 พฤศจิกายน 2553
- ทำบัญชีทำการและวันหยุดราชการของข้าราชการและลูกจ้างประจำ ประจำเดือนตุลาคม 2553 เป็นจำนวน 8 ฉบับ
-ลงรับหนังสือ และออกเลขทะเบียนรับ-ส่ง ของฝ่ายสารบรรณ ทั้งภายในและภายนอกกรมฯ
-คีย์ข้อมูลเอกสารภายในเรียนอธิบดีกรมพินิจฯ ลงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณ 150 ฉบับ : วัน
-เดินเอกสารส่งกอง หรือ กลุ่มต่างๆ 11 สถานที่ ได้แก่
1.สำนักเลขานุการกรม
2.กองการเจ้าหน้าที่
3.กลุ่มงานคลัง
4.กองพัฒนาทรัพยากรบุคคล
5.สำนักพัฒนาระบบงานยุติธรรมเด็กและเยาวชน
6.กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร
7.ผู้เชี่ยวชาญ
8.หน้าห้องรองอธิบดี
9.หน้าห้องรองอธิบดี (ฝ่ายวิชาการ)
10.หน้าห้องรองอธิบดี (ฝ่ายบริหาร)
11.หน้าห้องรองอธิบดี (ฝ่ายพัฒนา)
-พิมพ์เอกสาร แบบ ปย.1 ปี54 ของสำนักเลขานุการกรมฯ จำนวน 5 หน่วยงาน

ปัญหา
-การคีย์ข้อมูลลงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์มีหลายขั้นตอนมาก
-การเดินเอกสารไปยังกองหรือกลุ่มต่างๆ งง มาก เพราะสถานที่กรมพินิจฯชั้น5กว้างและซับซ้อน
-ระบบอินเทอร์เน็ตช้า ทำให้การคีย์ข้อมูลลงระบบล่าช้ามาก

วิธีแก้ไข
-ไม่เข้าใจตรงไหนถามพี่ที่คุมก่อนที่จะปฏิบัติ ทำบ่อยๆจนเกิดความเคยชิน และจำได้เอง
-ให้พี่ที่คุมบอกเส้นทางและเดินนำไปในช่วงแรกๆ แล้วพยายามจำ
-ต้องใจเย็นๆและมีสติในการรอระบบ เพราะท่ารีบร้อนในการคลิกย้ำ จะทำให้เกิดเลขในระบบซ้ำกัน

ข้อเสนอแนะ
-หน่วยงานราชการควรมีคอมพิวเตอร์ให้ครบตามจำนวนบุคลากร
-ควรใช้การตอกบัตรมากกว่าการเขียนลงเวลาในแฟ้มลงเวลาปฏิบัติงาน

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

MAG-50132792048


หน้าปกนิตยสารที่นักศึกษา คณะวิทยาการจัดการ หลักสูตรคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ได้จัดทำขึ้นมา ด้วยตัวเอง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นนักบริหาร ความเป็นตัวตนของนักศึกษา และ ความสามารถที่นักศึกษามี ค่ะ
ในหัวข้อของดิฉัน คือ F.T.F (forward to future) คือ การก้าวไปสู่อนาคต เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง ค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ลูกแรดเตรียมพร้อมล่าเหยื่อ

สิ่งที่ได้รับจากการเรียนเตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพบริหารธุรกิจ
1.ได้รู้จักการทำงานที่ดี
2.ได้รู้จักระเบียบวินัยในการทำงาน
3.มีความรับผิดชอบในการทำงาน
4.มีความตรงต่อเวลาในการทำงาน
5.มีความรอบคอบในการทำงาน
6.มีความรู้รอบตัวมาขึ้นในการทำงาน
7.ได้ประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับผู้อื่นเพิ่มขึ้น
8.ได้รับความรู้เกี่ยวกับแขนงบริหารในด้านอื่นๆ
9.การทำงานเป็นขึ้นเป็นตอน
10.ความสามัคคี

สรุปสาระครั้งที่12

สรุปเรื่อง sorting (ต่อ)การเรียงลำดับแบบเร็ว (quick sort)เป็นวิธีการเรียงลำดับที่ใช้เวลาน้อยเหมาะ สำหรับข้อมูลจำนวนมากที่ต้องการความรวดเร็วในการทำงาน การจัดเรียงลำดับแบบเร็วเป็นวิธีที่ซับซ้อน แต่ประสิทธิภาพการทำงานค่อนสูง กรณีที่ดีที่สุด คือ กรณีที่ค่าหลักที่เลือกแบ่งแล้วข้อมูลอยู่ตรงกลางกลุ่มพอดี และในแต่ละส่วนย่อยก็เช่นเดียวกัน กรณีที่แย่ที่สุด คือ กรณีที่ข้อมูลมีการเรียงลำดับ อยู่แล้ว อาจจะเรียงจากน้อยไปมากหรือจากมากไปน้อย หรือค่าหลักที่เลือกในแต่ละครั้งเป็นค่าหลักที่น้อยที่สุดหรือมากที่สุด จำนวนครั้งของการการเรียงลำดับแบบฐาน (radix sort)เป็นการเรียงลำดับโดยการพิจารณาข้อมูลทีละหลัก มีวิธีการที่ไม่ซับซ้อนแต่ค่อนข้างใช้เนื้อที่ในหน่วยความจำมาก เนื่องจากการจัดเรียงแต่ละรอบจะต้องเตรียมเนื้อที่สำหรับสร้างที่เก็บข้อมูลในแต่ละกลุ่ม เช่นถ้ามีจำนวนข้อมูล n ตัว และในแต่ละกลุ่มใช้วิธีจัดเก็บข้อมูลในแถวลำดับ ต้องกำหนดให้แต่ละกลุ่มมีสมาชิกได้

สรุปสาระครั้งที่11

เรื่อง การเรียงลำดับ(sorting)การเรียงลำดับ (sorting) เป็นการจัดให้เป็นระเบียบ มีแบบแผน ช่วยให้การค้นหาสิ่งของหรือข้อมูล ซึ่งจะสามารถกระทำได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เช่น การค้นหาความหมายของคำในพจนานุกรม ทำได้ค่อนข้างง่ายและรวดเร็วเนื่องจากมีการเรียงลำดับคำตามตัวอักษรไว้อย่างมีระบบและเป็นระเบียบ หรือ การค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ในสมุดโทรศัพท์ ซึ่งมีการเรียงลำดับ ตามชื่อและชื่อสกุลของเจ้าของโทรศัพท์ไว้ ทำให้สามารถค้นหา หมายเลขโทรศัพท์ของคนที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว เป็นต้นวิธีการเรียงลำดับวิธีการเรียงลำดับสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ(1)การเรียงลำดับแบบภายใน (internal sorting) เป็นการเรียงลำดับที่ข้อมูลทั้งหมดต้องอยู่ในหน่วยความจำหลัก เวลาที่ใช้ในการเรียงลำดับจะคำนึงถึงเวลาที่ใช้ในการเปรียบเทียบและเลื่อนข้อมูลภายในความจำหลัก(2) การเรียงลำดับแบบภายนอก(external sorting) เป็นการเรียงลำดับข้อมูลที่เก็บอยู่ในหน่วยความจำสำรอง ซึ่งเป็นการเรียงลำดับข้อมูลในแฟ้มข้อมูล (file) เวลาที่ใช้ในการเรียงลำดับต้องคำนึงถึงเวลาที่เสียไประหว่างการถ่ายเทข้อมูลจากหน่วยความจำหลักการเรียงลำดับแบบเลือก (selection sort)ทำการเลือกข้อมูลมาเก็บในตำแหน่งที่ ข้อมูลนั้นควรจะอยู่ทีละตัว โดยทำการค้นหาข้อมูลนั้นในแต่ละรอบแบบเรียงลำดับถ้าเป็นการเรียงลำดับการจัดเรียงลำดับแบบเลือกเป็นวิธีที่ง่ายและตรงไปตรงมา แต่มีข้อเสียตรงที่ใช้เวลาในการจัดเรียงนานเพราะแต่ละรอบต้องเปรียบเทียบกับข้อมูลทุกตัว ถ้ามีจำนวนข้อมูลทั้งหมด n ตัว ต้องทำการเปรียบเทียบทั้งหมดการเรียงลำดับแบบฟอง (Bubble Sort)เป็นวิธีการเรียงลำดับที่มีการเปรียบเทียบข้อมูลในตำแหน่งที่อยู่ติดกัน1. ถ้าข้อมูลทั้งสองไม่อยู่ในลำดับที่ถูกต้องให้สลับตำแหน่งที่อยู่กัน2. ถ้าเป็นการเรียงลำดับจากน้อยไปมากให้นำข้อมูลตัวที่มีค่าน้อยกว่าอยู่ในตำแหน่งก่อนข้อมูลที่มีค่ามาก ถ้าเป็นการเรียงลำดับจากมากไปน้อยให้นำข้อมูล ตัวที่มีค่ามากกว่าอยู่ในตำแหน่งก่อนข้อมูลที่มีค่าน้อยการเรียงลำดับแบบเร็ว (quick sort)วิธีนี้จะเลือกข้อมูลจากกลุ่มข้อมูลขึ้นมาหนึ่งค่าเป็นค่าหลัก แล้วหาตำแหน่งที่ถูกต้องให้กับค่าหลักนี้ เมื่อได้ตำแหน่งที่ถูกต้องแล้ว ใช้ค่าหลักนี้เป็นหลักในการแบ่งข้อมูลออกเป็นสองส่วน ถ้าเป็นการเรียงลำดับจากน้อยไปมาก ส่วนแรกอยู่ในตอนหน้าข้อมูล ทั้งหมดจะมีค่าน้อยกว่าค่าหลักที่เป็นตัวแบ่งส่วน อีกส่วนหนึ่งจะอยู่ในตำแหน่งตอนหลังข้อมูลทั้งหมด จะมีค่ามากกว่าค่าหลัก แล้วนำแต่ละส่วนย่อยไปแบ่งย่อยในลักษณะเดียวกันต่อไปจนกระทั่งแต่ละส่วนไม่สามารถแบ่งย่อยได้อีก ต่อไปจะได้ข้อมูลที่มีการเรียงลำดับตามที่ต้องการการเรียงลำดับแบบแทรก (insertion sort)เป็นวิธีการเรียงลำดับที่ทำการเพิ่มสมาชิกใหม่เข้าไปในเซต ที่มีสมาชิกทุกตัวเรียงลำดับอยู่แล้ว และทำให้เซตใหม่ที่ได้นี้มีสมาชิกทุกตัวเรียงลำดับด้วย วิธีการเรียงลำดับจะ1. เริ่มต้นเปรียบเทียบจากข้อมูลในตำแหน่งที่ 1 กับ 2 หรือข้อมูลในตำแหน่งสุดท้ายและรองสุดท้ายก็ได้ถ้าเป็นการเรียงลำดับจากน้อยไปมาก2. จะต้องจัดให้ข้อมูลที่มีค่าน้อยอยู่ในตำแหน่งก่อนข้อมูลที่มีค่ามาก และถ้าเรียงจากมากไปน้อยจะก็จะการเรียงลำดับแบบฐาน (radix sort)เป็นการเรียงลำดับโดยการพิจารณาข้อมูลทีละหลัก1. เริ่มพิจารณาจากหลักที่มีค่าน้อยที่สุดก่อน นั่นคือถ้าข้อมูลเป็นเลขจำนวนเต็มจะพิจารณาหลักหน่วยก่อน2. การจัดเรียงจะนำข้อมูลเข้ามาทีละตัว แล้วนำไปเก็บไว้ที่ซึ่งจัดไว้สำหรับค่านั้น เป็นกลุ่ม ๆ ตามลำดับการเข้ามา3. ในแต่ละรอบเมื่อจัดกลุ่มเรียบร้อยแล้ว ให้รวบรวมข้อมูลจากทุกกลุ่มเข้าด้วยกัน โดยเริ่มเรียงจากกลุ่มที่มีค่าน้อยที่สุดก่อนแล้วเรียงไปเรื่อย ๆ จนหมดทุกกลุ่ม4. ในรอบต่อไปนำข้อมูลทั้งหมดที่ได้จัดเรียงในหลักหน่วยเรียบร้อยแล้วมาพิจารณาจัดเรียงในหลักสิบต่อไป ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งครบทุกหลักจะได้ข้อมูลที่เรียงลำดับจากน้อยไปมากตามต้องการ

สรุปสาระครั้งที่10

เรื่อง Graphกราฟ (Graph) เป็นโครงสร้างข้อมูลแบบไม่ใช่เชิงเส้น อีกชนิดหนึ่ง กราฟเป็นโครงสร้างข้อมูลที่มีการนำไปใช้ในงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาที่ค่อนข้างซับซ้อน นิยามของกราฟ กราฟ เป็นโครงสร้างข้อมูลแบบไม่ใช่เชิงเส้นที่ประกอบ ด้วยกลุ่มของสิ่งสองสิ่งคือ(1) โหนด (Nodes) หรือ เวอร์เทกซ์(Vertexes)(2) เส้นเชื่อมระหว่างโหนด เรียก เอ็จ (Edges)การเขียนกราฟเพื่อแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ ของสิ่งที่เราสนใจแทนโหนดด้วย จุด (pointes) หรือวงกลม (circles) ที่มีชื่อหรือข้อมูลกำกับ เพื่อบอกความแตกต่างของแต่ละโหนดและเอ็จแทนด้วยเส้นหรือเส้นโค้งเชื่อมต่อระหว่างโหนดสองโหนดกราฟแบบไม่มีทิศทางเป็นเซตแบบจำกัดของโหนดและเอ็จ โดยเซตอาจจะว่างไม่มีโหนดหรือเอ็จเลยเป็นกราฟว่าง (Empty Graph)แต่ละเอ็จจะเชื่อมระหว่างโหนดสองโหนด หรือเชื่อมตัวเอง เอ็จไม่มีทิศทางกำกับ ลำดับของการเชื่อมต่อกันไม่สำคัญ นั่นคือไม่มีโหนดใดเป็นโหนดแรก (First Node) หรือไม่มีโหนดเริ่มต้น และไม่มีโหนดใดเป็นโหนดสิ้นสุดกราฟแบบมีทิศทาง เป็นเซตแบบจำกัดของโหนดและเอ็จ โดยเซตอาจจะว่างไม่มีโหนดหรือเอ็จเลยเป็นกราฟว่าง (Empty Graph) แต่ละเอ็จจะเชื่อมระหว่างโหนดสองโหนด เอ็จมีทิศทางกำกับแสดงลำดับของการเชื่อมต่อกัน โดยมีโหนดเริ่มต้น (Source Node) และ โหนดสิ้นสุด (Target Node)รูปแบบต่าง ๆ ของกราฟแบบมีทิศทางเหมือนกับรูปแบบ ของกราฟไม่มีทิศทาง ต่างกันตรงที่กราฟแบบนี้จะมีทิศทางกำกับด้วยเท่านั้น

สรุปสาระครั้งที่9

สรุปเรื่อง Treeทรี (Tree) Tree เป็นโครงสร้างข้อมูลที่ความสัมพันธ์ระหว่าง โหนดจะมีความสัมพันธ์ลดหลั่นกันเป็นลำดับชั้น เช่น แผนผังองค์ประกอบของหน่วยงานต่างๆ เป็นต้นโหนดมีความสัมพันธ์กับโหนดในระดับต่ำลงมา หนึ่งระดับได้หลายๆ โหนด เรียกว่าโหนดว่า โหนดแม่ (Parent or Mother Node)โหนดที่อยู่ต่ำกว่าโหนดแม่อยู่หนึ่งระดับเรียกว่า โหนดลูก (Child or Son Node) โหนดที่อยู่ในระดับสูงสุดและไม่มีโหนดแม่เรียกว่า โหนดราก (Root Node) โหนดที่มีโหนดแม่เป็นโหนดเดียวกันเรียกว่า โหนดพี่น้อง (Siblings) โหนดที่ไมมีโหนดลูกเรียกว่า โหนดใบ (Leave Node) เส้นเชื่อมแสดงความสัมพันธ์ระหว่างโหนดสองโหนดเรียกว่า กิ่ง (Branch)นิยามที่เกี่ยวข้องกับทรี1.ฟอร์เรสต์ (Forest) หมายถึง กลุ่มของทรีที่เกิดจากการเอาโหนดรากของทรีออกหรือเซตของทรีที่แยกจากัน (Disjoint Trees)2.ทรีที่มีแบบแผน (Ordered Tree) หมายถึง ทรีที่โหนดต่างๆ ในทรีนั้นมีความสัมพันธ์ที่แน่นอน เช่น ไปทางขวา ไปทางซ้าย เป็นต้น3.ทรีคล้าย (Similar Tree) คือ ทรีที่มีโครงสร้างเหมือนกัน หรือทรีที่มีรูปร่างของทรีเหมือนกัน โดยไม่คำนึงถึงข้อมูลที่อยู่ในแต่ละโหนด4.ทรีเหมือน (Equivalent Tree) คือ ทรีที่เหมือนกันโดยสมบูรณ์ โดยต้องเป็นทรีที่คล้ายกันและแต่ละโหนดในตำแหน่งเดียวกันมีข้อมูลเหมือนกัน5.กำลัง (Degree) หมายถึง จำนวนทรีย่อยของโหนดนั้นๆ6.ระดับของโหนด (Level of Node) คือ ระยะทางในแนวดิ่งของโหนดนั้นๆ การแทนที่ทรีในหน่วยความจำหลักการแทนที่โครงสร้างข้อมูลแบบทรีในความจำหลักจะมีพอยเตอร์เชื่อมโยงจากโหนดแม่ไปยังโหนดลูก การแทนที่ทรี แต่ละโหนดมีจำนวนลิงค์ฟิลด์ไม่เท่ากัน วิธีการแทนที่ง่ายที่สุด คือ ทำให้แต่ละโหนดมีจำนวนลิงค์ฟิลด์ที่เท่ากัน โดย1.โหนดแต่ละโหนดเก็บพอยเตอร์ชี้ไปยังโหนดลูกทุกโหนด 2.แทนทรีด้วยไบนารีทรี โดยกำหนดให้แต่ละโหนดมีจำนวนลิงค์ฟิลด์สองลิงค์ฟิลด์- ลิงค์ฟิลด์แรกเก็บที่อยู่ของโหนดลูกคนโต- ลิงค์ฟิลด์ที่สองเก็บที่อยู่ของโหนดพี่น้องที่เป็นโหนดถัดไป โหนดใดไม่มีโหนดลูกหรือไม่มีโหนดพี่น้องให้ค่าพอยเตอร์ในลิงค์ฟิลด์มีค่าเป็น Nullโครงสร้างทรีที่แต่ละโหนดมีจำนวนโหนดลูดไม่เกินสองหรือแต่ละโหนดมีจำนวนทรีย่อยไม่เกินสองนี้ว่า ไบนารีทรี (Binary Tree)ไบนารีทรีที่ทุกๆ โหนดมีทรีย่อยทางซ้ายและทรีย่อยทางขวา ยกเว้นโหนดใบ และโหนดใบทุกโหนดจะต้องอยู่ที่ระดับเดียวกันการแปลงทรีทั่วไปให้เป็นไบนารีทรี1.ให้โหนดแม่ชี้ไปยังโหนดลูกคนโต แล้วลบความสัมพันธ์ระหว่างโหนดแม่และโหนดลูกอื่นๆ 2.ให้เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างโหนดพี่น้อง3.จับให้ทรีย่อยทางขวาเอียงลงมา 45 องศาการท่องไปในไบนารีทรี คือ การท่องไปในไบนารีทรี (Traversing Binary Tree) เพื่อเข้าไปเยือนทุกๆ โหนดในทรี โหนดแม่ (แทนด้วย N) ทรีย่อยทางซ้าย (แทนด้วย L) ทรียอ่ยทางขวา (แทนด้วย R)วิธีการท่องเข้าไปในทรี 6 วิธี คือ NLR LNR LRN NRL RNL และ RLN วิธีที่นิยมใช้ คือ การท่องจากซ้ายไปขวา 3 แบบแรก คือ NLR LNR และ LRNลักษณะการนิยามเป็นนิยามแบบ รีเคอร์ซีฟ1.)การท่องไปแบบพรีออร์เดอร์ (Preorder Traversal)ในวิธี NLR มีชั้นตอนการเดิน1.เยือนโหนดราก2.ท่องไปในทรีย่อยทางซ้ายแบบพรีออร์เดอร์3.ท่องไปในทรีย่อยทางขวาแบบพรีออร์เดอร์2.)การท่องไปแบบอินออร์เดอร์ (Inorder Traversal)ในวิธี LNR มีขั้นตอนการเดิน1.ท่องไปในทรีย่อยทางซ้ายแบบอินออร์เดอร์2.เยือนโหนดราก3.ท่องไปในทรีย่อยทางขวาแบบอินออร์เดอร์3.)การท่องไปแบบโพสออร์เดอร์ (Postorder Traversal)ในวิธี LRN มีขั้นตอนการเดิน1.ท่องไปในทรีย่อยทางซ้ายแบบโพสต์ออร์เดอร์2.ท่องไปในทรีย่อยทางขวาแบบโพสต์ออร์เดอร์3.เยือนโหนดราก

สรุปสาระครั้งที่8

สรุปเรื่อง คิว (Queue)คิวหรือแถวคอย (อังกฤษ: queue) เป็นประเภทข้อมูลอย่างย่อที่มีลักษณะการเรียงลำดับข้อมูล ในการเข้า-ออกในลักษณะเข้าก่อนออกก่อน FIFO (First In First Out) กล่าวคือข้อมูลที่เข้าแรกๆจะได้ออกก่อน คล้ายคนต่อคิวที่มาก่อนจะได้ซื้อของก่อน จึงเรียกว่า แถวคอย หรือ คิวแถวคอย หรือ คิว จึงจัดเป็นวิธีการจัดการเข้า-ออกของข้อมูลอีกแบบหนึ่ง เป็นโครงสร้างข้อมูลที่นำมาใช้ในการทำงานของโปรแกรมคอมพิวเตอร์หลายประการ อาทิการเข้าคิวในการทำงานของเครือข่าย การออกแบบการทำงานระบบท่อ (pipeline) เป็นต้นจุดเด่นของคิวคิวสามารถจัดการการเข้า-ออกของข้อมูล ใช้เก็บข้อมูลที่ต้องการจัดเรียงเป็นระบบ โดยพิจารณาข้อมูลตามลำดับ ในทำนอง ใครถึงก่อนมีสิทธิ์ได้ใช้ก่อน จึงใช้ในการเรียงลำดับในการแบ่งปันทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดในการทำงาน เช่น การรอคิวการทำงานของเครื่องพิมพ์ในสำนักงาน เป็นต้นบริการที่มักจะมีเอาข้อมูลใหม่เข้าท้ายคิว (enqueue)เอาข้อมูลออกจากหัวคิว (dequeue)ดูข้อมูลที่อยู่หัวคิว (peek) ทำคิวว่าง ตรวจสอบความว่างของคิว (empty)ความเร็วที่ใช้ในการทำงานการทำงานของคิวไม่จำเป็นต้องไล่พิจารณาสมาชิกทุกตัว เป็นเพียงแต่การพิจารณาข้อมูลที่เข้าแรกสุดออกจากคิว และเอาข้อมูลใหม่เข้าท้ายคิว การทำงานของคิวจึงมีความเร็วคงที่ (O (1))วิธีการสร้างคิวการสร้างคิวทำได้โดยแถวลำดับประกอบกับจำนวนเต็ม ที่เก็บดัชนีของหัวคิวและท้ายคิว สองตัว หรือใช้ รายการโยงสองชั้นวน(circular doubly linked list)คิวแถวลำดับสำหรับการใช้แถวลำดับในการทำคิวนั้น (array queue) ตอนเริ่มต้นเราจะให้ดัชนีของหัวคิวและท้ายคิวชี้ที่ศูนย์ เมื่อเข้าคิว (enqueue) ก็จะเก็บข้อมูลตรงดัชนีท้าย พร้อมทั้งเพิ่มค่าดัชนีท้ายคิวจะไปอีกหนึ่ง (increament) ในทางตรงกันข้ามหากเอาข้อมูลตัวแรกออกจากคิว (dequeue) ก็คืนค่าสมาชิกตัวที่ดัชนีหัวคิวชี้อยู่พร้อมทั้งเพิ่มค่าดัชนีหัวคิวไปอีกหนึ่ง (decrement) หากดัชนีหัวคิววิ่งไล่ทับดัชนีท้ายคิวแสดงว่า คิวนั้นเป็นคิวว่าง (empty queue) ไม่ควร dequeue อีกเพราะจะทำให้การทำงานรวนได้ (ควรตรวจสอบก่อน dequeue)เนื่องจากแถวลำดับมีขนาดจำกัดในบางครั้งอาจมีการทำคิววนรอบ (circular array queue) กล่าวคือบางครั้งคิวอาจมีการ enqueue และ dequeue สลับกันทำให้ดัชนีหัวคิวเลื่อนๆออกไปจนจะตกขอบขวาของแถวลำดับ ทำให้มีเนื้อที่ของแถวลำดับด้านหน้าเหลือไม่ได้ใช้จึงมีการวนเอาหางคิว มาแทนส่วนหน้าของแถวลำดับ กล่าวคือเมื่อท้ายคิวตกขอบขวาของแถวลำดับ ก็จะมีการเริ่มดัชนีท้ายคิวที่ศูนย์ใหม่และต่อท้ายคิวมาเรื่อยๆ ข้อด้อยของวิธีนี้คือ เมื่อท้ายคิวมาทับหัวคิวอีกครั้งจะตีความไม่ได้ว่าคิวเต็มแถวลำดับ หรือคิวว่างกันแน่ จึงอาจใช้ตัวแปรขนาด (size) หรือตัวแปรอื่นๆช่วยในการบอกว่าคิวว่างหรือไม่คิวรายการโยงสองชั้นวนสำหรับการใช้รายการโยงสองชั้นวน(circular doubly linked list) ในการทำนั้น โดยหัวคิวจะอยู่ที่ปมสุดท้ายนี้ (กล่าวคือเป็นปมก่อนที่จะชี้ปมหัว เพราะว่าเป็นรายการวน) ส่วนท้ายคิวอยู่ที่ปมแรก เมื่อเข้าคิว (enqueue) ก็เพิ่มปมใหม่หลังปมหัว เมื่อจะเอาข้อมูลแรกออกจากคิว (dequeue) ก็จะเอาข้อมูลก่อนปมหัวออก ก็คือข้อมูลที่เข้าแรกๆสุด เมื่อใดที่รายการหรือคิวว่าง ก็คือตอนที่ปมหัวชี้มาที่ตัวเองนั่นเอง

สรุปสาระครั้งที่7

สรุปเรื่อง Stackสแตก (Stack) เป็นโครงสร้างข้อมูลที่ข้อมูลแบบลิเนียร์ลิสต์ ที่มีคุณสมบัติที่ว่า การเพิ่มหรือลบข้อมูลในสแตก จะกระทำที่ ปลายข้างเดียวกัน ซึ่งเรียกว่า Top ของสแตก (Top Of Stack) และ ลักษณะที่สำคัญของสแตก คือ ข้อมูลที่ใส่หลังสุดจะถูกนำออกมา จากสแตกเป็นลำดับแรกสุด เรียกคุณสมบัตินี้ว่า LIFO (Last In First Out)การดำเนินงานพื้นฐานของสแตกการทำงานต่าง ๆ ของสแตกจะกระทำที่ปลายข้างหนึ่งของ สแตกเท่านั้น ดังนั้นจะต้องมีตัวชี้ตำแหน่งข้อมูลบนสุดของสแตกด้วยการทำงานของสแตกจะประกอบด้วยกระบวนการ 3 กระบวนการที่สำคัญ คือ1.Push คือ การนำข้อมูลใส่ลงไปในสแตก เช่น สแตก s ต้องการใส่ข้อมูล i ในสแตก จะได้ push (s,i) คือ ใส่ข้อมูล i ลงไปที่ทอปของสแตก s ในการเพิ่มข้อมูลลงในสแตก จะต้องทำการตรวจสอบว่าสแตก เต็มหรือไม่ ถ้าไม่เต็มก็สามารถเพิ่มข้อมูลลงไปในสแตกได้ แล้วปรับตัวชี้ตำแหน่งให้ไปชี้ที่ตำแหน่งข้อมูลใหม่ ถ้าสแตกเต็ม (Stack Overflow) ก็จะไม่สามารถเพิ่มข้อมูลเข้าไปในสแตกได้อีก2. Pop คือ การนำข้อมูลออกจากส่วนบนสุดของสแตก เช่น ต้องการนำข้อมูลออกจากสแตก s ไปไว้ที่ตัวแปร i จะได้ i = pop (s) การนำข้อมูลออกจากสแตก ถ้าสแตกมีสมาชิกเพียง 1 ตัว แล้วนำสมาชิกออกจากสแตก จะเกิดสภาวะสแตกว่าง (Stack Empty) คือ ไม่มีสมาชิกอยู่ในสแตกเลย แต่ถ้าไม่มีสมาชิกในสแตก แล้วทำการ pop สแตก จะทำให้ เกิดความผิดพลาดที่เรียกว่า Stack Underflow เพราะฉะนั้นก่อนนำข้อมูลออกจากสแตกจะต้องตรวจสอบ ก่อนว่าสแตกว่างหรือเปล่า จึงจะนำข้อมูลออกจากสแตกได้และ ปรับตัวชี้ตำแหน่งให้ไปชี้ตำแหน่งของข้อมูลที่ต่อจากข้อมูลที่ถูกนำ ออกไป3. Stack Top เป็นการคัดลอกข้อมูลที่อยู่บนสุดของสแตก แต่ไม่ได้นำเอาข้อมูลนั้นออกจากสแตกการแทนที่ข้อมูลของสแตกการแทนที่ข้อมูลของสแตกสามารถทำได้ 2 วิธี คือ1. การแทนที่ข้อมูลของสแตกแบบลิงค์ลิสต์จะประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนของ Head Node จะประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ top pointer และจำนวนสมาชิกในสแตก และ Data Node จะประกอบไปด้วยข้อมูล (Data) และพอยเตอร์ ที่ชี้ไปยังข้อมูลตัวถัดไปการดำเนินการเกี่ยวกับสแตกการดำเนินการเกี่ยวกับสแตก ได้แก่1. Create Stack จัดสรรหน่วยความจำให้แก่ Head Node และส่งค่าตำแหน่งที่ชี้ไปยัง Head ของสแตกกลับมา2. Push Stack การเพิ่มข้อมูลลงไปในสแตก3. Pop Stack การนำข้อมูลบนสุดออกจากสแตก4. Stack Top เป็นการคัดลอกข้อมูลที่อยู่บนสุดของสแตก โดยไม่มีการลบข้อมูลออกจากสแตก5.Empty Stack เป็นการตรวจสอบการว่างของสแตก เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการนำข้อมูลออกจากสแตกที่เรียกว่า Stack Underflow6. Full Stack เป็นการตรวจสอบว่าสแตกเต็มหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการนำข้อมูลเข้าสแตกที่เรียกว่า Stack Overflow7. Stack Count เป็นการนับจำนวนสมาชิกในสแตก8. Destroy Stack เป็นการลบข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในสแตก2. การแทนที่ข้อมูลของสแตกแบบอะเรย์การดำเนินการเกี่ยวกับสแตก ได้แก่1. Create Stack2. Push Stack3. Pop Stack4. Stack Top5. Empty Stack6. Full Stack7. Stack Count8. Destroy Stackการคำนวณนิพจน์ทางคณิตศาสตร์ในการเขียนนิพจน์ทางคณิตศาสตร์เพื่อการคำนวณ จะต้องคำนึงถึงลำดับความสำคัญของเครื่องหมาสำหรับการคำนวณด้วย โดยทั่วไปนิพจน์ทางคณิตศาสตร์สามารถเขียนได้ 3 รูปแบบ คือ1. นิพจน์ Infix นิพจน์รูปแบบนี้ operatorจะอยู่ตรงกลางระหว่างตัวถูกดำเนินการ 2 ตัว2. นิพจน์ Postfix นิพจน์รูปแบบนี้ จะต้องเขียนตัวถูกดำเนินการตัวที่ 1 และ 2 ก่อน แล้วตามด้วย operator3. นิพจน์ Prefix นิพจน์รูปแบบนี้ จะต้องเขียน operator ก่อนแล้วตามด้วยตัวถูกดำเนินการตัวที่ 1 และ 2ขั้นตอนการแปลงจากนิพจน์ Infix เป็นนิพจน์ Postfix1. อ่านอักขระในนิพจน์ Infix เข้ามาทีละตัว2. ถ้าเป็นตัวถูกดำเนินการจะถูกย้ายไปเป็นตัวอักษรในนิพจน์ Postfix3. ถ้าเป็นตัวดำเนินการ จะนำค่าลำดับความสำคัญของตัว ดำเนินการที่อ่านเข้ามาเทียบกับค่าลำดับความสำคัญของตัวดำเนินการที่อยู่บนสุดของสแตก- ถ้ามีความสำคัญมากกว่า จะถูก push ลงในสแตก- ถ้ามีความสำคัญน้อยกว่าหรือเท่ากัน จะต้อง pop ตัวดำเนินการที่อยู่ในสแตกขณะนั้นไปเรียงต่อกับตัวอักษรในนิพจน์ Postfix4. ตัวดำเนินการที่เป็นวงเล็บปิด “)” จะไม่ push ลงในสแตกแต่มีผลให้ตัวดำเนินการอื่น ๆ ถูก pop ออกจากสแตกนำไป เรียงต่อกันในนิพจน์ Postfix จนกว่าจะเจอ “(” จะ pop วงเล็บเปิดออกจากสแตกแต่ไม่นำไปเรียงต่อ5. เมื่อทำการอ่านตัวอักษรในนิพจน์ Infix หมดแล้ว ให้ทำการ Pop ตัวดำเนินการทุกตัวในสแตกนำมาเรียงต่อในนิพจน์Postfix

สรุปสาระครั้งที่6

#include"iostream.h"
#include"iomanip.h"
int main()
{
cout << setw(6) << 1 << endl;
cout << setw(6) << 15 << endl;
cout << setw(6) << 378 << endl;
cout << setw(6) << 4600 << endl;
cout << setw(6) << 666666 << endl;
cout << "============================" << endl;
cout << "Name Score Grade" << endl;
cout << "============================";
cout << endl;
cout << setw(6) << "Krirk" << setw(10) << 90 << setw(6) << "A";
cout << endl;
cout << setw(6) << "Pung" << setw(10) << 78 << setw(6) << "B";
cout << endl;
cout << setw(6) << "Tum" << setw(10) << 17 << setw(6) << "F";
cout << endl;cout << setw(6) << "Keakai" << setw(10) << 100 << setw(6) << "A";
return 0;
}

สรุปสาระครั้งที่4

สรุป set and string มีโครงสร้างอยู่ 2 แบบ คือ โครงสร้างข้อมูลแบบเซ็ตและโครงสร้างข้อมูลแบบสตริง โครงสร้างข้อมูลแบบเซ็ต เป็นโครงสร้างข้อมูลที่ข้อมูลแต่ละตัวไม่มีความสัมพันธ์กัน ในภาษาซีจะไม่มีประเภทข้อมูลแบบเซ็ตนี้เหมือนกับในภาษา ปาสคาล แต่สามารถใช้หลักการของการดำเนินงานแบบเซ็ตมาใช้ได้ตัวดำเนินการของเซ็ต (Set operators)ประกอบด้วย- set intersection- set union- set difference เป็นต้นโครงสร้างข้อมูลแบบสตริง สตริง (String) หรือ สตริงของอักขระ (Character String) เป็นข้อมูลที่ประกอบไปด้วย ตั;อักษร ตัวเลขหรือ เครื่องหมายเรียงติดต่อกันไป รวมทั้งช่องว่างการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับข้อมูลที่เป็นสตริงมีการนำไปใช้สร้างโปรแกรมประเภทบรรณาธิการข้อความ(text editor) หรือโปรแกรมประเภทประมวลผลคำ (word processing) ซึ่งมีการทำงานที่อำนวยความสะดวกหลายอย่างเช่น การตรวจสอบข้อความ การจัดแนวข้อความในแต่ละย่อหน้า และการค้นหาคำ เป็นต้นสตริงกับอะเรย์ สตริง คือ อะเรย์ของอักขระ เช่น char a[6] อาจจะเป็นอะเรย์ขนาด 6 ช่องอักขระ หรือ เป็นสตริงขนาด 5 อักขระก็ได้ โดยจุดสิ้นสุดของ string จะจบด้วย \0 หรือ null character เช่นchar a[ ]={‘H’, ‘E’, ‘L’, ‘L’, ‘O’, ‘\0’};char a[ ]=“HELLO”;การกำหนดตัวแปรสตริง ในการกำหนดตัวแปรของสตริง อาศัยหลักการของอะเรย์ เพราะ สตริงก็คืออะเรย์ของอักขระที่ปิดท้ายด้วย null character (\0) และมีฟังก์ชันพิเศษสำหรับทำงานกับสตริงโดยเฉพาะเช่น ต้องการสตริงสำหรับเก็บชื่อบุคคลยาวไม่เกิน 30อักขระ ต้องกำหนดเป็นอะเรย์ขนาด 31 ช่อง เพื่อเก็บ null character อีก 1 ช่องอะเรย์ของสตริง ถ้าหากมีสตริงจำนวนมาก ก็ควรจะทำให้เป็นอะเรย์ของสตริง เพื่อที่จะเขียนโปรแกรมได้สะดวก การสร้างอะเรย์ของสตริง สามารถสร้างได้ทั้งแบบที่ให้ค่าเริ่มต้นและแบบที่กำหนดเป็นตัวแปรอะเรย์ของสตริงที่ยาวเท่ากัน อะเรย์ในลักษณะนี้จะถือว่าเป็นอะเรย์ที่แท้จริง และสามารถกำหนดได้ทั้งเมื่อมีการให้ค่าเริ่มต้น และเมื่อกำหนดเป็นตัวแปร โดยดำเนินการตามแบบการกำหนดอะเรย์ 2 มิติ การกำหนดตัวแปรในลักษณะนี้ จะแตกต่างจากการกำหนดตัวแปรแบบความยาวไม่เท่ากัน คือ ในแบบความยาวไม่เท่ากัน ท้ายของสตริงจะเครื่องจะเติม null character ให้เพียงตัวเดียว แต่ในแบบความยาวเท่ากัน จะเติม null character ให้จนครบทุกช่องการดำเนินการเกี่ยวกับสตริง ในการดำเนินการเกี่ยวกับสตริง จะมีฟังก์ชันที่อยู่ในแฟ้ม ข้อมูล stdio.h เก็บอยู่ใน C Library อยู่แล้วสามารถนำมาใช้ได้ โดยการใช้คำสั่ง #include ในการเรียกใช้ เช่น- ฟังก์ชัน strlen(str) ใช้หาความยาวของสตริง- ฟังก์ชัน strcpy (str1,str2) ใช้คัดลอกข้อมูลจาก string หนึ่งไปยังอีก string หนึ่ง- ฟังก์ชัน strcat(str1,str2) ใช้เชื่อมต่อข้อความ2 ข้อความเข้าด้วยกัน- ฟังก์ชัน strcmp(str1,str2 ) ใช้เปรียบเทียบข้อความ 2 ข้อความว่ามีค่าเท่ากันหรือไม่ ถือหลักการเปรียบเทียบแบบพจนานุกรม เช่น abcda จะมีค่าน้อยกว่า abcde และ abcdf จะมีค่ามากกว่า abcde ค่าที่เท่ากัน คือ ค่าที่เหมือนกัน เช่น abcd กับ abcd สำหรับอักษรตัวเล็กตัวใหญ่ จะถือว่าอักษรตัวใหญ่มีค่าน้อยกว่าอักษรตัวเล็ก ตามลำดับรหัส ASCII

สรุปสาระครั้งที่5

เป็นวิธีการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องของอิลิเมนต์ต่าง ๆ โดยมีพอยเตอร์เป็นตัวเชื่อมต่อ แต่ละอิลิเมนท์ เรียกว่าโนด (Node) ซึ่งในแต่ละโนดจะประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ Data จะเก็บข้อมูลของอิลิเมนท์ และ ส่วนที่สอง คือ Link Field จะทำหน้าที่เก็บตำแหน่งของโนดต่อไปในลิสต์ในส่วนของ data อาจจะเป็นรายการเดี่ยวหรือเป็นเรคคอร์ดก็ได้ในส่วนของ link จะเป็นส่วนที่เก็บตำแหน่งของโหนดถัดไป ในโหนดสุดท้ายจะเก็บค่า Null ซึ่งไม่ได้ชี้ไปยังตำแหน่งใด ๆ เป็นตัวบอกการสิ้นสุดของลิสต์ในลิงค์ลิสต์จะมีตัวแปรสำหรับชี้ตำแหน่งลิสต์ (List pointer variable)ซึ่งเป็นที่เก็บตำแหน่งเริ่มต้นของลิสต์ ซึ่งก็ คือ โหนดแรกของลิสต์นั่นเอง ถ้าลิสต์ไม่มีข้อมูล ข้อมูลในโหนดแรกของลิสต์จะเป็น Nullโครงสร้างข้อมูลแบบลิงค์ลิสต์โครงสร้างข้อมูลแบบลิงค์ลิสต์จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ1. Head Structure จะประกอบไปด้วย 3 ส่วนได้แก่ จำนวนโหนดในลิสต์ (Count) พอยเตอร์ที่ชี้ไปยังโหนดที่เข้าถึง (Pos) และพอยเตอร์ที่ชี้ไปยังโหนดข้อมูลแรกของลิสต์ (Head)2. Data Node Structure จะประกอบไปด้วยข้อมูล (Data) และพอยเตอร์ที่ชี้ไปยังข้อมูลตัวถัดไปกระบวนงานและฟังก์ชั่นที่ใช้ดำเนินงานพื้นฐาน1. กระบวนงาน Create List หน้าที่ คือ สร้างลิสต์ว่าง ผลลัพธ์ คือ ลิสต์ว่าง2. กระบวนงาน Insert Node หน้าที่ คือ เพิ่มข้อมูลลงไปในลิสต์บริเวณตำแหน่งที่ต้องการ ข้อมูลนำเข้า คือลิสต์ ข้อมูล และตำแหน่ง ผลลัพธ์ คือ ลิสต์ที่มีการเปลี่ยนแปลง3. กระบวนงาน Delete Node หน้าที่ คือ ลบสมาชิกในลิสต์บริเวณตำแหน่งที่ต้องการ ข้อมูลนำเข้า คือ ข้อมูลและตำแหน่ง ผลลัพธ์ คือ ลิสต์ที่มีการเปลี่ยนแปลง4. กระบวนงาน Search list หน้าที่ คือ ค้นหาข้อมูลในลิสต์ที่ต้องการ ข้อมูลนำเข้าลิสต์ ผลลัพธ์ คือ ค่าจริงถ้าพบข้อมูล ค่าเท็จถ้าไม่พบข้อมูล5. กระบวนงาน Traverse หน้าที่ คือ ท่องไปในลิสต์เพื่อเข้าถึงและประมวลผลข้อมูลนำเข้าลิสต์ ผลลัพธ์ คือ ขึ้นกับการประมวลผล เช่น เปลี่ยนแปลงค่าใน node , รวมฟิลด์ในลิสต์ ,คำนวณค่าเฉลี่ยของฟิลด์เป็นต้น6. กระบวนงาน Retrieve Node หน้าที่ คือ หาตำแหน่งข้อมูลจากลิสต์ ข้อมูลนำเข้าลิสต์ ผลลัพธ์ คือตำแหน่งข้อมูลที่อยู่ในลิสต์7. ฟังก์ชั่น EmptyList หน้าที่ คือ ทดสอบว่าลิสต์ว่างข้อมูลนำเข้า ลิสต์ ผลลัพธ์ คือ เป็นจริง ถ้าลิสต์ว่างเป็นเท็จ ถ้าลิสต์ไม่ว่าง8. ฟังก์ชั่น FullList หน้าที่ คือ ทดสอบว่าลิสต์เต็มหรือไม่ข้อมูลนำเข้าลิสต์ ผลลัพธ์ คือ เป็นจริง ถ้าหน่วยความจำเต็ม เป็นเท็จ ถ้าสามารถมีโหนดอื่น9. ฟังก์ชั่น list count หน้าที่ คือ นับจำนวนข้อมูลที่อยู่ในลิสต์ ข้อมูลนำเข้าลิสต์ ผลลัพธ์ คือ จำนวนข้อมูลที่อยู่ในลิสต์10. กระบวนงาน destroy list หน้าที่ คือ ทำลายลิสต์ ข้อมูลนำเข้า คือ ลิสต์ ผลลัพธ์ คือ ไม่มีลิสต์Linked List แบบซับซ้อน1. Circular Linked List เป็นลิงค์ลิสต์ที่สมาชิกตัวสุดท้ายมีตัวชี้ (list) ชี้ไปที่สมาชิกตัวแรกของลิงค์ลิสต์ จะมีการทำงานไปในทิศทางเดียวเท่านั้น คือเป็นแบบวงกลม2. Double Linked List เป็นลิงค์ลิสต์ที่มีทิศทางการทำงานแบบ 2 ทิศทาง ในลิงค์ลิสต์แบบ 2 ทิศทาง ส่วนข้อมูลจะมีตัวชี้ไปที่ข้อมูลก่อนหน้า (backward pointer) และตัวชี้ข้อมูลถัดไป(forward pointer)

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สรุปสาระครั้งที่3

รูปแบบ structure
Array เป็นโครงสร้างข้อมูลที่เรียกว่า Linear List มีลักษณะคล้ายเซตในคณิตศาสตร์สมาชิกคือ อะเรย์จะประกอบด้วยสมาชิกที่มีจำนวนคงที่ มีรูปแบบข้อมูลเป็นแบบเดียวกัน สมาชิกแต่ละตัวใช้เนื้อที่จัดเก็บที่มีขนาดเท่ากัน เรียงต่อเนื่องในหน่วยความจำหลัก
Array int k[5][10] จะเป็นเหมือนเมททริกคือเอามาคูณกัน จะสามารถเก็บค่าได้ 50 ตัว

subscript ซึ่งเป็นตัวกำหนดขอบเขตของอะเรย์ มีได้มากกว่า 1 ตัวจำนวน subscript จะเป็น ตัวบอกมิติของอะเรย์
อะเรย์ที่มี subscript มากกว่า 1 ตัวขึ้นไป จะเรียกว่า อะเรย์หลายมิติ การกำหนด subscript แต่ละตัวจะประกอบไปด้วย ค่าสูงสุดและ ค่าต่ำสุด
ค่าต่ำสุด เรียก ขอบเขตล่าง (lower bound)
ค่าสูงสด เรียก ขอบเขตบน (upper bound)
ขนาดarray = ค่าคูณของ subscript แต่ละตัว
รูปแบบ data-type array-name [expression]
data-type คือ ประเภทข้อมูล array เช่น int char float
array-name คือ ชื่อของ array
statement เหมือนกับ expression
expression คือ นิพจน์จำนวนเต็มซึ่งระบุจำนวนสมาชิกของ array
array ของ character
character = string
[ ] เรียกว่าวงวงเล็บก้ามปู หรือ วงเล็บใหญ่
หลังLoop forถ้าไม่ใส่ {} จะทำ 1statement ถ้าจะมีหลายstatementต้องใส่ {} หลังforทุกครั้ง

สรุปสาระครั้งที่1

อาจารย์ปรมัตถ์ปัญปรัชญ์ ต้องประสงค์
เป็นอาจารย์ผู้สอนวิชาโครงสร้างข้อมูล รหัส 4122202
(DATA STRUCTURE)
การวัดผล
ระหว่างภาค 60คะแนน แบ่งเป็น
-เสนองานและมีส่วนร่วม 10คะแนน
-รายงานและแบบฝึกหัด 30คะแนน
-คะแนนเก็บ 20คะแนน
ปลายภาค 40คะแนน

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สรุปสาระครั้งที่2

ความหมายของโครงสร้างข้อมูล คือ ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่่อยู่ในโครงสร้างนั้นๆ รวมทั้งกระบวนการในการจัดการข้อมูลในโครงสร้าง เช่น เพิ่ม แก้ไข ลบ
ประเภทของโครงสร้างข้อมูล
ในภาษาคอมพิวเตอร์จะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. โครงสร้างข้อมูลทางกายภาพ เป็นโครงสร้างข้อมูลที่ใช้โดยทั่วไปในภาษาคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะข้อมูล
1.1 ข้อมูลเบื้องต้น Primitive Data Types
1.2 ข้อมูลโครงสร้าง Structured Data Types
2. โครงสร้างข้อมูลทางตรรกะ เป็นโครงสร้างข้อมูลที่เกิดจากจินตนาการของผู้ใช้เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาในโปรแกรมที่สร้างขึ้น แบ่ง เป็น 2 ประเภท
2.1 โครงสร้างข้อมูลเชิงเส้น Linear Data Structures
2.2 โครงสร้างข้อมูลทางตรรกะ Non-Linear Data Structures
ภาษาขั้นตอนวิธี Algorithm Language เป็ภาษาสำหรับเขียนขั้นตอนวิธี มีรูปแบบที่สั้น กระชับและรัดกุมและมีข้อกำหนด
Loop จะต้องมี4ขั้นตอนด้วยกัน
1.ต้องมีค้าเริ่มต้น 2.มีเงื่อนไข 3.ตัวสิ้นสุด
4.ตัวเพิ่มหรือตัวลดค่า ขึ้นอยู่กับค่าเริ่มต้นว่า น้อยหามากเพิ่ม มากหาน้อยลด

วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552

การบ้าน

#include <stdio.h>
#include <string.h>
void main()
{
struct movie{
char name[10];
char type_of_movie[10];
char type_of_product[7];
char languages[30];
char corporation[30];
char support[30];
int since_age;
float cost;
};
struct movie description;
strcpy(description.name,"BATMAN");
strcpy(description.type_of_movie,"Action");
strcpy(description.type_of_product,"CD-DVD");
strcpy(description.languages,"English-Thai");
strcpy(description.corporation,"WB");
strcpy(description.support,"VCD-DVD");
description.since_age=18;
description.cost=250.00;
printf("============Movie============\n\n");
printf(" Name\t\t:\t%s\n",description.name);
printf(" Movie\t\t:\t%s\n",description.type_of_movie);
printf(" Product\t:\t%s\n",description.type_of_product);
printf(" Languages\t:\t%s\n",description.languages);
printf(" Corporation\t:\t%s\n",description.corporation);
printf(" Support\t:\t%s\n",description.support);
printf(" Age\t\t:\t%d year up\n",description.since_age);
printf(" Cost\t\t:\t%.2f bath\n",description.cost);
}

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ประวัติ



นางสาวศิริรักษ์ ศิลาประจวบ รหัสประจำตัว 50132792048
Miss.Sirirak Silaprachuab Nickname Toon
หลักสูตร การบริหารธุรกิจ (คอมพิวเตอร์ธุรกิจ)
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
E-mail:u50132792048@gmail.com